วันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2556

วีนัส เทพีแห่งความงาม ผู้กำเนิดจากน้ำทะเล

วีนัส เทพีแห่งความงาม ผู้กำเนิดจากน้ำทะเล
วีนัส หรือ อะโฟรไดท์เทพีวีนัส เป็นเทพีแห่งเทพปกรณัมโรมันที่มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับความรักและความงาม หรืออีกชื่อคือ อโฟรไดท์ (Aphrodite) แห่งเทพปกรณัมกรีก พระนางเป็นชายาของเทพวัลแคน (Vulcan) หรือ เฮเฟสทัส เทพแห่งงานช่าง
เทพีวีนัสตามตำราว่าเกิดขึ้นเองจากฟองทะเล ด้วยพระนามของพระนาง อะโฟรไดท์ นั้น มาจากคำว่า 'Aphros' ที่แปลว่าฟอง ซึ่งมีตำนานว่าพระนางเกิดในทะเลใกล้เกาะไซเธอรา และถูกคลื่นซัดไปยังเกาะไซปรัส แต่บางตำราว่าเป็นธิดาของเทพซุสที่เกิดจากจากนางอัปสรไดโอนี บางตำราบอกว่า วีนัส เป็นเทพีแห่งความรักและความอุดมสมบูรณ์ กำเนิดของเธอนับว่าเป็นเรื่องเหลือจะคาดคิดจริงๆ นั่นคือซูส (Zeus) จับพ่อของเธอตอนนั่นเองหยดเลือดจากกล่องดวงใจที่เพิ่งถูกพรากออกจากร่างก็หยดลงในทะเล มันทำให้กลายเป็นฟองสีขาว และก่อกำเนิดเป็นวีนัสขึ้นมา ในทะเลแถวๆ เกาะไซเธอรา (Cythera) จากนั้น เจ้าแม่ถูก คลื่นซัดไปจนถึงเกาะไซพรัส (Cyprus) อาศัยเหตุนี้ เกาะทั้งสองจึงกลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เกี่ยวกับเจ้าแม่ และบางทีเจ้าแม่ก็มีชื่อเรียกตามชื่อเกาะทั้งสอง นี้ว่า ไซเธอเรีย (Cytherea) และ ไซเพรียน (Cyprian)
แต่ที่ตรงกันคือพระนางมีความงดงามที่ไม่มีใครเทียมได้แม้กระทั่งเทพธิดาด้วยกัน และสามารถสะกดใจผู้ชายทุกคนได้ภายในพริบตาแรกที่มองเห็นพระนาง อีกทั้งพระนางก็ชอบใจในความสวยงามของตนเองมากเสียด้วย พระนางจึงไม่ยอมเด็ดขาดหากใครจะกล้าล้ำเส้นเทพีความงามของพระนาง ด้วยแรงริษยาที่รุนแรงพอๆ กับรูปโฉมสะสวยทำให้เทพีวีนัสเป็นที่หวาดหวั่นของเทพหลายๆ องค์

เจ้าแม่มีตำนานต้นกำเนิดมาจากดินแดนซีกโลกตะวันออกด้วย ว่ากันว่าเจ้าแม่เป็นเทวีองค์แรกเริ่มของ ชนชาติฟีนีเซีย ที่มาตั้งอาณานิคม มากมาย ในดินแดนตะวันออกแถบตะวันออกกลาง ทราบกันมาว่าเจ้าแม่ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเทวีของชาวอัสสิเรีย กับบาบิโลเนีย ที่มีนามว่า อีชตาร์ (Ishtar) และก็ยังเป็น อันหนึ่งอันเดียวกับเทวีของชาวไซโร-ฟีนิเซี่ยน ผู้มีนามกรว่า แอสตาร์เต (Astarte) จึงนับได้ว่าเป็น เทวีที่มีความสำคัญมากมาแต่ดึกดำบรรพ์

ในวันแรกที่เทพีวีนัสปรากฏตัวบนเขาโอลิมปัส เทพชายทุกองค์โดยเฉพาะเทพซุสเองก็อยากได้พระนางมาครอบครอง แต่เทพีวีนัสไม่ใช่หญิงสาวเรียบร้อยหัวอ่อนว่าง่าย ทำให้เทพซุสเกิดความโมโหและเเก้เผ็ดพระนาง โดยจับพระนางแต่งงานกับเทพวัลแคนพระโอรสของพระองค์ ซึ่งเทพวัลแคนชอบขลุกอยู่ในโรงงาน ก่อสร้าง และประดิษฐ์สิ่งต่างๆ เนื้อตัวมอมแมม แถมยังเป็นเทพขาเป๋ ทำให้เทพีวีนัสโกรธเคืองอย่างมาก แต่พระนางก็กล้าทำในสิ่งที่เทพีอื่นๆ ไม่กล้า นั่นคือการคบชู้สู่ชายแบบตามใจชอบ ดังเช่น

1. เทพอเรส เทพแห่งสงคราม โอรสอีกองค์ของเทพซุสและเป็นน้องชายร่วมท้องของเทพวัลแคน ด้วยความที่มีรูปร่างหน้าตางดงามหล่อเหลา ทำให้ทั้งสองเทพเทพีเกิดรักใคร่กันในใจเงียบๆ แต่แรกเจอ แต่เมื่อเทพีวีนัสถูกจับคลุมถุงชน ทั้งสองจึงยอมอยู่กินกันแบบชู้รักอย่างมีความสุข กระทั่งมีพยานรักด้วยกันถึง 4 องค์ คือ
  • คิวปิด กามเทพ เทพเจ้าแห่งความรัก มีชายาเป็นคู่แค้นเก่าของมารดานามว่า เทพีไซคี และมีธิดาหนึ่งองค์กับพระชายา นามว่า เดลิซิโอ
  • แอนตีรอส โอรสองค์รอง เป็นเทพเจ้าแห่งการรักตอบ
  • ฮาร์โมเนีย หรือ เฮอร์ไมโอนี ธิดาองค์ที่สาม ซึ่งเทพอาเรสยกให้แต่งงานกับแคดมัส ผู้ก่อตั้งเมืองธีบส์ โดยเทพอาเรสไม่รู้เลยว่า พระองค์ได้สาปแช่งแคดมัสไว้ ธิดาองค์นี้ในที่สุดก็กลายร่างเป็นงูตามสวามี และลูกหลานสืบต่อมาจึงประสบกับชะตาอันน่าเศร้า อย่างที่รู้จักกันดีคือ โอดิปุส ผู้ซึ่งฆ่าพ่อของตนและได้แม่เป็นภรรยา
  • อัลซิปเป ธิดาองค์สุดท้อง มีรูปโฉมงดงามจนถูกโอรสเทพโพไซดอนลักพาตัวไป ท้ายสุดเทพอเรสตามชิงธิดากลับมาได้ และฆ่าโอรสเทพโพไซดอนตาย เทพโพไซดอนโกรธเคืองมากถึงขนาดต้องขึ้นศาลกับเทพ เอเรส แต่ท้ายที่สุดเทพอเรสชนะความ
  • 2. เทพเฮอร์มีส ซึ่งเป็นน้องชายต่างมารดากับเทพอาเรสและเทพวัลแคน เป็นเทพแห่งการติอต่อสื่อสาร การโกหก และการขโมย ทั้งสองมีโอรสชายด้วยกันหนึ่งองค์คือ เฮอร์มาโฟไดทัส แต่ภายหลังก็กลายเป็นเทพสองเพศ เพราะมีนางอัปสรชื่อ ซาลมากิส มาหลงรักเฮอร์มาโฟไดทัส ทว่าเขาไม่ไยดีต่อนางเลย นางจึงวิงวอนแก่เทพเจ้าให้นางได้ติดตามเขาไปทุกที่ ท้ายสุด นางซาลมากิสก็ถูกหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเฮอร์มาโฟไดทัสตามแรงอธิษฐาน ทำให้เฮอร์มาโฟไดทัสมีสองเพศนับแต่นั้นมา

    3. อาโดนิส ชายรูปงามซึ่งเป็นต้นกำเนิดของดอกกุหลาบ เล่ามาว่า ครั้งหนึ่งในป่าใหญ่ ขณะเทพีวีนัสกำลังประพาสป่า เกิดพบต้นไม้ใหญ่งดงามต้นหนึ่งหักโค่นลง และภายในมีเด็กชายหน้าตาน่ารักอยู่ พระนางจึงรับเด็กชายไว้และตั้งชื่อเขาว่า อาโดนิส พระนางฝากเทพีเพอร์เซโฟนี่มเหสีแห่งเทพฮาเดสดูแล จนกระทั่งเวลาล่วงเลยผ่านมา เทพีวีนัสบังเอิญถูกศรรักของโอรสสะกิดจนเป็นแผลเล็ก และเวลาประจวบเหมาะกับที่อาโดนิสเมื่อโตเป็นหนุ่มแล้วมาปรากฏตรงหน้าพระนาง ทำให้เทพีวีนัสหลงรักอาโดนิสปักใจ และขออาโดนิสคืนจากเทพีเพอร์เซโฟนี่ แต่องค์เทพีไม่ยินยอมด้วยความผูกพันที่มีต่อชายหนุ่ม ทั้งสองเทพีจึงเกิดเบาะแว้งกันใหญ่โต เทพซุสจึงตัดสินให้อาโดนิสสามารถอยู่กับเทพีวีนัสสี่เดือนบนโลกมนุษย์ อยู่อีกสี่เดือนในยมโลกกับเทพีเพอร์เซโฟนี่ และอีกสี่เดือนอาโดนิสจะอยู่ที่ไหนก็ได้ตามใจ(บางตำราก็ว่า แบ่งระหว่างสองเทพีองค์ละ 6 เดือน) แต่เทพอาเรสหึงหวงชายา(ลับ)ของตนมาก จึงแปลงเป็นหมูป่าที่อาโดนิสชอบล่าลวงเขาเข้าป่าไปและฆ่าทิ้ง เทพีวีนัสเสียใจมากที่พบแต่ศพของชายคนรัก พระนางจึงเนรมิตดอกไม้งามขึ้นมาจากเลือดของอาโดนิส เรียกว่า ดอกอโดนิส หรือ ดอกเออะเนมโมนิ (Anemone) แปลว่า ดอกตามลม เนื่องจากธรรมชาติซึ่งกล่าวกันว่า ลมทำให้ดอกไม้นี้แย้มบานและภายหลังก็พัดกลีบให้ร่วงหล่นไป มีฤดูกาลอยู้ได้เพียงชั่ว 3-4 เดือนเท่านั้น ต่อมาเชื่อกันว่า ดอกอโดนิส ซึ่งดอกไม้สัญลักษณ์แห่งความรัก ก็คือ ดอกกุหลาบ นั่นเอง
    4. แอนไคซีส แอนไคซีสเป็นมนุษย์ธรรมดา เป็นบุตรเขยของท้าวอิลัสปู่ของท้าวเพรียมฝ่ายทรอย ทั้งๆ ที่เขามีชายาอยู่แล้ว แต่เทพีวีนัสก็หลงใหลในตัวของแอนไคซีสมาก พระนางแปลงตัวมาเป็นนางอัปสรประจำเขาไอดา และหาโอกาสใกล้ชิดกับแอนไคซีส จนมีบุตรด้วยกันหนึ่งคนคือ อีเนียส วีรบุรุษฝ่ายทรอยในสงครามทรอย ผู้ก่อตั้งอาณาจักรโรมันอันยิ่งใหญ่ เป็นต้น

    เทพบุตรทั้งหลายต้องการเธอมาแนบข้าง ในขณะที่บรรดาเทพธิดาอยากจะเหวี่ยงเธอไปให้ไกลหูไกลตา ไม่มีใครทำร้ายเธอสำร็จจนกระทั่งวันหนึ่งบรรดาเทพธิดาขี้อิจฉาทั้งหลายก็ลากมนุษยชาติที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เข้าไปเป็นเครื่องมือแก้แค้น ด้วยเรื่องการทะเลาะทุ่มเถียงที่ไร้สาระ

    เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่ออีริส (Eris) เทพแห่งความบาดหมาง กลิ้งลูกแอปเปิลทองคำสลักคำว่า "สำหรับผู้ที่งามที่สุด" เข้าไปในกลุ่มเทพธิดาที่ได้รับเชิญมาในงานแต่งงานบนโอลิมปัส วีนัส เฮรา และอธีนีต่างก็อ้างว่าคำที่สลักไว้บนลูกแอปเปิลหมายถึงตน ถึงแม้เทพซูสก็ปวดเฮดจนไม่อาจตัดสินว่าใครจะเป็นผู้งามที่สุด ว่าแล้วก็โยนกลองลงไปให้มนุษย์ผู้ชายเป็นผู้ตัดสิน มนุษย์ผู้ชายผู้ที่ซวยที่สุดในรอบปี และจะกลายเป็นต้นเหตุให้ผู้คนล้มตายเหมือนผักปลานั่นก็คือเจ้าชายปารีส ( Paris) ซึ่งเป็นราชบุตรของกษัตริย์ปรีแอม (Priam) แห่งทรอย แน่ละปารีสย่อมเลือกวีนัสแน่นอน นั่นเป็นสาเหตุให้ทั้งเฮร่าและอธีนีคุมแค้นหาทางแก้เผ็ดปารีส พาให้เขาต้องตายในสนามรบและกรุงทรอยถึงแก่กาลพินาศย่อยยับ แต่วีนัสก็ไม่เห็นเป็นอะไรไปด้วยเลย...
    ภาพวีนัส ภาพใหญ่ กรุณาโหลดรอสักครู่

    อารมณ์ของเทพไท้แห่งโอลิมปัสนี่เอาแน่อะไรไม่ได้เลย เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง แต่ที่แน่ๆอย่างหนึ่งเทพพวกนี้แม้จะมีอารมณ์รักที่รุนแรงแต่เอาจริงเข้ากลับไม่ค่อยรู้ความต้องการภายในของตัวเองเท่าไร จุดอ่อนนี่เองที่ทำให้วีนัสเข้าไปนั่งอยู่กลางใจของบรรดาเทพทั้งหลาย และกลายเป็นเทพีสำคัญองค์หนึ่งในที่สุด เธอจะเป็นคนอ่อนหวานและสง่างามกับผู้ที่ให้เกียรติบูชาเธอ แต่เธอจะโกรธขึ้งกับผู้ที่ดูถูกเหยียดหยาม ครั้งหนึ่งหญิงสาวแห่งอมาธุส (Amathus) กล่าววาจาดูถูก วีนัสปล้นความเป็นผู้ดีของเธอโดยที่เธอไม่ทันรู้ตัวและสาปให้เธอพึงใจกับกามรมณ์จนทำให้กลายเป็นโสเภณีในที่สุด

    วีนัสเป็นเทพีที่สร้างความงามให้แก่หญิงสาว เธอจะเป็นผู้บันดาลให้อ้อมกอดและร่างกายของหญิงสาวพรักพร้อมสำไรับชายหนุ่ม แต่เธอเองก็จะเป็นผู้บันดาลความเจ็บปวดให้แก่เขาเหล่านั้นในรูปของความไม่สมหวังในความรักด้วย…

    เทวีองค์สำคัญที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์มากที่สุดได้แก่เทวี อโฟรไดที่ (Aphrodite) หรือ วีนัส (Venus) ซึ่งงเป็นเจ้าแม่ครองความรักและความงาม สามารถสะกดเทพและมนุษย์ทั้งปวงให้ลุ่มหลง ทั้งอาจจะลบสติปัญญาของผู้ฉลาดให้ตกอยู่ในความโฉดเขลาไปได้ และเจ้าแม่จะคอยหัวเราะเยาะบรรดาผู้ที่ตกอยู่ในอำนาจแห่งความเย้ายวนของเจ้าแม่ร่ำไป

    ว่ากันว่าแรกเริ่มเดิมทีก่อนที่จะกลายเป็นเทวีแห่งความงามและความรักนั้น อโฟร์ไดที่เป็นเทวีแห่งความสมบูรณ์ มาก่อน เมืองที่นับถือเจ้าแม่มากที่สุดได้แก่ เมืองปาฟอสในไซปรัสและเมืองไซธีราในเกาะครีต นอกจากนั้น วิหารที่เล่าลือ ว่าโอ่อ่าที่สุดของซีกโลกทางด้านตะวันออกได้แก่ วิหารที่เมืองคนิดุส ในรัฐแคเรีย (Caria) เมื่อเดินทางมาถึงกรีกก็มีผู้ ศรัทธาเชื่อถือสร้างวิหารใหญ่ให้หลายแห่ง รวมทั้งกรุงเอเธนส์ซึ่งมีเทวีเอเธน่า เป็นเทพอุปถัมภ์อยู่บนเนินอโครโปลิส ได้กล่าวแล้วว่า อโฟรไดที่เป็นเทวีที่ชาวกรีกและโรมันโบราณถือว่าเกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ของมนุษย์มาก ที่สุด เนื่องจากเจ้าแม่เป็นเทวีครองความรักและความงาม และความงามกับความรักก็เป็นสิ่งที่จับใจคนมากกว่าเรื่องอื่น ๆ ด้วยเหตุนี้เจ้าแม่จึงมักเป็นที่เทิดทูนและกล่าวขวัญในวิจิตรศิลป์และวรรณคดีต่าง ๆ นอกจากนั้นชาวกรีก และโรมันยังถือ ว่าเจ้าแม่เป็นเทวีครองความมีลูกดกและการให้กำเนิดทารกอีกด้วย มีคติความเชื่อประการหนึ่งซึ่งอย่างน้อยก็ยังพูดกันติด ปากชาวตะวันตกมาจนถึง ปัจจุบันนี้ว่า ทารกถือกำเนิดเพราะนกกระสานำมา คตินี้สืบเนื่องจากข้อยึดถือของชาวกรีกและ โรมันมาแต่เดิมเหมือนกัน

    ในเทพปกรณัมกล่าวว่า นกกระสาเป็นนกประกอบบารมีของอโฟรไดที่ คราวใดมีนกกระสาผัวเมียไปทำรังอยู่บน ยอดหลังคาบ้านใด ก็หมายความว่าเจ้าแม่อโฟรไดที่โปรดให้ครอบครัวในบ้านนั้นมีลูกและจะให้ประสบความรุ่งเรือง ใน ยุโรปโดยเฉพาะภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ถือนกกระสาประหนึ่งที่เคารพทีเดียว ในเยอรมันและเนเธอร์แลนด์ถือว่านก กระสาเป็นนกที่นำโชคลาภมาให้ ดังนั้นชาวเยอรมันและวิลันดาจึงยินดีที่จะให้นกกระสามาทำรังบนหลังคาบ้านเสมอ ยิ่ง อาศัยอยู่นานเท่าใด ก็ยิ่งเป็นมงคลแก่บ้านนานเท่านั้น นกกระสาจึงเป็นที่กล่าวขวัญถึงอย่าสำคัญตามเทพนิยาย นิทาน ชาวบ้าน และนิทานเทียบสุภาษิตต่างๆ ของฝรั่งด้วยเหตุผลดังกล่าวมานี้

    อนึ่งชาวยุโรปทั่วไปเขาเชื่อกันมาเป็นเวลานานหลายศตวรรษด้วยว่า ในคราวที่บ้านหนึ่งบ้านใดกำลังจะมีเด็ก เจ้าแม่อโฟรไดที่จะให้นกกระสามาบินวนเวียน เหนือบ้านนั้น คตินี้กินความไปถึงว่า ถ้านกกระสาบินวนเหนือบ้านที่กำลังจะมีเด็กเกิด เด็กนั้นจะคลอดออกจากครรภ์โดยง่ายและอยู่รอดด้วย แต่คตินี้ในที่สุดก็เป็นเพียงข้อ อ้างที่พ่อแม่จะใช้ตอบลูกตอนโต ๆ เมื่อถูกถามว่าน้องเล็กเกิดมาแต่ไหน หรือตัวเกิดจากอะไรเท่านั้น
    เทวีอโฟร์ไดที่มีต้นเมอร์เทิลเป็นพฤกษาประจำองค์ สัตว์เลี้ยงของเจ้าแม่เป็นนก บ้างว่าเป็นนกเขา นกกระจอกบ้าง หงส์บ้าง ตามแต่กวีคนไหนจะชอบใจยกให้เป็น สัญลักษณ์ของเทวีแห่งความงามและความรัก
    เทพีวีนัส ที่หลายตำราบอกว่ากำเนิดจากฟองคลื่น ที่หยดเลือดของบิดานางหยดลงทะเล ก่อให้เกิดตำนานมากมาย ทั้งความรัก ความอุดมสมบูรณ์ และตำนานกล่าวขานมาเนิ่นนาน ดังเช่นน้ำเพียงหยดหนึ่งในทะเล ไม่รู้ว่าจะทำให้ชีวิตต่างๆ บนโลก หมุนเปลี่ยนไปอย่างไร วันแล้ว วันเล่า มีทั้งคุณค่ามหาศาลต่อชีวิต มีทั้งโทษภัยที่ควบคุมลำบาก มีผลต่อชีวิต จิตวิญญาณผู้คน จากรุ่นสู่รุ่น
    ที่มา  http://202.129.59.73/nana/legend/venus.htm


ตำนานกรีกของคิวปิดกับไซคี


 ตำนานกรีกของคิวปิดกับไซคี

เรื่องของเรื่องคือว่า ไซคี Psyche ได้ชื่อว่าเป็นหญิงงามที่สุดในหมู่มวลมนุษย์ และคำร่ำลือได้ขจรขจายไปทั่ว ผู้คนต่างมุ่งหน้ามากรีก เพื่อชมความงามของไซคี จนถึงขนาดยกย่องให้เป็นเทพธิดาลงมาเกิดเลยทีเดียว ต่างพูดถึงแต่ความงามของนางกระทั่งหลงลืมบูชา บวงสรวง อะโฟรไดต์หรือ วีนัส เทพีแห่งความงามตัวจริง ปล่อยให้วิหารทั้งหลายที่มีรูปปั้นของนาง ต้องรกร้าง จนเจ้าแม่แกพิโรธ แหงล่ะ.. ผู้หญิง ไม่ว่าเทวดาหรือมนุษย์ ห้ามมาแข่งเรื่องความสวยความงามกันเด็ดขาด เมื่อได้ยินว่ามีหญิงสาวที่งามกว่าตน ป้าวีนัสก็ร้อนรน ริษยาว่า แม่นี่เป็นเพียงมนุษย์ จะมาสวยกว่าเทพีอย่างพระนางได้ยังไง ว่าแล้วก็วางแผนร้าย  สั่งให้ลูกของตน คือ คิวปิด ไปยิงศรกามเทพ ให้นางไซคี ไปหลงรักกับชายที่อัปลักษณ์ที่สุดในโลก 
ด้วยความที่ คิวปิด แม้จะเติบโตเป็นหนุ่มรูปงามแล้วก็ตาม แต่ยังเป็นลูกที่อยู่ในโอวาทของแม่ สั่งอะไรก็ทำ จึงลงไปยังโลกมนุษย์ ขณะนั้น ไซคีกำลังหลับอยู่ คิวปิดย่องเข้าไป… เอาปลายลูกศรสัมผัสไซคีอย่างแผ่วเบา ไซคีสะดุ้งตื่นขึ้นมา ทำให้คิวปิดตกใจ ซุ่มซ่ามถูกปลายลูกศรตนเอง จึงรีบบินหนีไป โดยที่ไซคีเห็นพระองค์ไม่ถนัดตา ....ศรรักทำงานของมันอย่างซื่อสัตย์ คิวปิดหลงรักไซคี และไซคีหลงรักคิวปิด แต่นางไม่รู้ว่าบุคคลที่นางหลงรักเป็นใคร หน้าตาอย่างไร 
จนกระทั่งพี่สาวทั้งสองอภิเษกออกเรือนไปแล้ว นางก็ยังไม่ตกลงปลงใจกับชายใดเสียที ที่สำคัญ ไม่มีชายใดกล้าสู่ขอนาง ทำให้พระราชากลุ้มใจมาก จึงไปบวงสรวง บูชาเทพพยากรณ์ ซึ่งเทพพยากรณ์ก็ได้ทำนายว่า เนื้อคู่ของนางเป็นอมนุษย์ และแนะนำให้นำนางไปปล่อยที่ยอดเขาแห่งหนึ่ง
ขณะที่ไซคีกำลังร้องไห้อย่างเดียวดายอยู่บนยอดเขาแห่งนั้น เซฟเฟอรัส ZEPHYRUS เทพเจ้าแห่งสายลมตะวันตก ก็พัดมา และโอบอุ้มนางลงไปยังหุบเขาเบื้องล่าง 
หลังจากไซคีเช็ดน้ำหูน้ำตาแล้ว สิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าก็คือ วิมานที่สวยสดงดงาม เสาและบานประตูทำด้วยทองคำ อาณาบริเวณเต็มไปด้วยดอกไม้ ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวน ทันใดนั้น นางก็ได้ยินเสียง “ยินดีต้อนรับสู่วิมาน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าเห็น จะเป็นสมบัติของเจ้า เจ้าปรารถนาสิ่งใดก็จะสมปรารถนา” แต่ไซคีมองไม่เห็นเจ้าของเสียงเลย(แน่ล่ะ!เจ้าของเสียงนั้น คือคิวปิดนั้นเอง แต่ที่ต้องปิดบังไซคี เพราะเกรงจะรู้ถึงหูวีนัส ว่าคิวปิดไม่ได้ทำตามเพราะประสงค์ของนาง)ตั้งแต่นั้นมา ไซคีก็อยู่ในวิมานแห่งนั้นอย่างมีความสุข โดยเจ้าของเสียงลึกลับจะมาหานางทุกค่ำคืน
จนกระทั่งวันหนึ่ง นางได้ยินเสียงพี่สาวทั้งสองที่คิดว่าน้องตนเองตกลงไปในหุบเขา มาตะโกนโหวกเหวกอยู่บนยอดเขาก็ดีใจ คืนนั้นนางจึงขออนุญาตเจ้าของเสียงลึกลับ ให้พี่สาวนางลงมาเยี่ยม ซึ่ง
ก็ได้รับอนุญาต


เช้าวันรุ่งขึ้น เซฟเฟอรัสจึงได้พาพี่สาวทั้งสองของไซคีลงมายังวิมานพอพี่สาวทั้งสองเห็นน้องมีความสุขอยู่ในวิมานอันงดงาม ก็เกิดริษยา ยุแยงตะแคงรั่วว่า เจ้าของเสียงลึกลับเป็นปิศาจบ้าง เป็นอสูรกายบ้าง เป็น:)ร้ายจึงไม่กล้าปรากฏตัว และออกอุบายให้ไซคีจุดตะเกียงดูให้เห็นดำเห็นแดงกันไปเลย
คืนนั้น หลังจากพี่สาวทั้งสองกลับขึ้นไปแล้ว เจ้าของเสียงลึกลับก็มาตามเคย กลางดึกหลังจากเจ้าของเสียงลึกลับหลับไป ไซคีก็จุดตะเกียงน้ำมัน และไปส่องหน้าดู ปรากฏว่าเป็นคิวปิด เทพเจ้ารูปหล่อนั่นเอง
ไซคีถึงกับตกตะลึง และเผลอทำน้ำมันร้อนจากตะเกียงหยดถูกหัวไหล่คิวปิด  คิวปิดตื่นขึ้นมา เสียใจมา จึงกล่าวขึ้นมาว่า “ความรักมิอาจอยู่ร่วมกับความหวาดระแวง” แล้วก็บินจากไปอย่างเศร้าสร้อย
ไซคีเสียใจร้องไห้จนสลบ เมื่อฟื้นขึ้นมาก็พบว่า นางกลับขึ้นมาอยู่ที่ยอดเขาแห่งเดิม นางเที่ยวตามหาคิวปิดไปทั่ว แต่ก็ไม่พบร่องรอย หรือข่าวคราวใดๆเลย
พี่สาวทั้งสอง เมื่อรู้ว่าไซคีถูกไล่กลับมาแล้วก็ดีใจ คิดครอบครองวิมานแทน จึงวิ่งไปที่ยอดเขาแห่งนั้น และตะโกนเรียกเซฟเฟอรัส พอมีลมพัดมาก็กระโดดลงไป คอหักตาย
ฝ่ายไซคี ผู้มีรักแท้ ตามหาคิวปิดกระเซอะกระเซิงมาถึงวิหารบูชาของเทพีแห่งการเกษตร ซีรีส CERUS(ชื่อโรมัน ดิมิเทอร์ DEMITER พี่สาวของซูส จอมเทพ) นางเห็นเมล็ดข้าวฟ่าง ฟาง พันธุ์พืชต่างๆ กระจัดกระจายไปทั่ว จึงเก็บข้าวของเหล่านั้นให้เป็นระเบียบเรียบร้อย และบวงสรวงเทพีซีรีส
เทพีซีรีสเห็นดังนั้นก็พอใจมาก จึงพานางไปหาวีนัสเพื่อให้นางขอโทษ และปรนนิบัติรับใช้ วีนัสเกรงใจซีรีส จึงยอมยกโทษให้ แต่ก็แกล้งใช้ไซคี ให้นางคัดแยกเมล็ดพันธุ์พืชต่างๆ ซึ่งกองรวมกันอยู่มากมายให้เสร็จภายในวันเดียว

คิวปิดรู้ดังนั้นจึงให้มดมาช่วย รุ่งเช้าวีนัสมาตรวจ ก็รู้ว่าจะต้องมีใครมาช่วย จึงแกล้งต่อ โดยให้ไปนำขนแกะจากฝูงแกะอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำมาให้
ฝูงแกะนั้นดุร้ายมาก แต่ต้นอ้อริมแม่น้ำก็ได้แนะนำไซคี ให้ไปตัดขนแกะหลังเที่ยง ซึ่งเวลานั้น แกะจะง่วง และพักผ่อนนอนหลับ
เมื่อไซคีนำขนแกะมาให้ วีนัสก็ยังไม่พอใจ มอบงานใหม่ให้ทันที คราวนี้ให้นางไปนรก (เอรีบัส EREBUS) เพื่อไปขอมนต์ความงามจาก เพอร์เซโฟนี PERSEPHONE ….555 ชื่อล็อกอินข้าพเจ้าเอง ทีนี่ก็รู้ที่มาชื่อข้าพเจ้ากันแล้วซิ ...อิอิ (ชื่อโรมัน พรอสเซอร์พินา PROSERPINA) มเหสีแห่ง เฮดีส HEDES (พลูโต PLUTO อนุชาแห่งซูส จอมเทพ)ลงนรก... ก็ตายนะสิ ไหนจะต้องผ่านเซอร์บิรัส CERBERUS สุนัข 3 หัว ที่เฝ้าปากทางอีก (ใครอ่านแฮรี่ พอตเตอร์ คงจะรู้จักเจ้าตัวนี้เป็นอย่างดี) ไซคีก็คิดเช่นนั้น หนทางสู่ยมโลกคือความตาย นางจึงขึ้นไปบนหอคอย แล้วจะกระโดดลงมา ก่อนที่จะกระโดด หอคอยได้พูดกับนาง และแนะนำให้นางเดินทางไปทางทิศตะวันตก จนถึงโขดหินสีดำ จะมีถ้ำซ่อนอยู่ ให้เข้าไปในนั้น โดยนำขนมไป 2 ก้อน และอมเหรียญไว้ 2 อัน เมื่อเจอเซอร์บิรัส ก็โยนขนมให้ 1 ก้อน 
จากนั้นเมื่อมาถึงแม่น้ำสตีก STYX จะพบกับแครอน CHARON คายเหรียญในปากให้ 1 เหรียญ (แครอนเป็นคนรับจ้างแจวเรือ รับคนตายข้ามแม่น้ำสตีกสู่ยมโลก โดยค่าจ้างข้ามฟากได้แก่ เหรียญในปากศพ) เมื่อพบ เพอร์เซโฟนี ขอมนต์แห่งความงามแล้ว ขากลับก็ให้เหรียญ และขนมที่เหลือแก่ แครอน และเซอร์บิรัส จะกลับมาได้อย่างปลอดภัย ทั้งนี้ ห้ามเปิดโถที่บรรจุมนต์อย่างเด็ดขาด
ไซคีทำตามทุกขั้นตอน ยกเว้นประการสุดท้าย นางกลับมายังโลกมนุษย์ได้แล้ว แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น อยากสวยงาม (ประสาผู้หญิง) จึงแอบเปิดโถนั้นดูกลางทาง ไม่พบโมราแต่อย่างใด พบแต่ความง่วงแห่งความตาย นางล้มลงหลับทันที
คิวปิดคอยนางอยู่นาน ไม่เห็นกลับมา จึงออกตามหาจนพบ และเก็บความง่วงแห่งความตายเข้าไว้ในโถอย่างเดิม ไซคีก็ฟื้นขึ้นมา 

คิวปิดรู้ดีว่า วีนัสจะต้องหาเรื่องกลั่นแกล้งไซคีอีก จึงรีบไปหาซูส ZEUS (จูปิเตอร์ JUPETER) เพื่ออ้อนวอนให้พระองค์เกลี้ยกล่อม วีนัส ซึ่งซูสก็กรุณาทำให้ และยังให้ เฮอร์มีส HERMES (เมอร์คิวรี่ MERCURY ดาวพุธ เทพเจ้าแห่งการสื่อสาร) ไปรับนางมายังวิมานเทือกเขาโอลิมปัส OLYMPUS ประทานน้ำอมฤตให้ดื่ม เพื่อเป็นอมตะ 
และทั้งคู่ก็อยู่่ด้วยกันตลอดมา


โพไซดอน เทพเจ้าแห่งท้องทะเลและมหาสมุทร


วันนี้ทรายจะมาเสนอประวัติเทพโพไซดอนถ้าใครเคยดูเพอซี่แจ็คสันก็คงเคยได้ยินชื่อมาบ้างถ้าอย่างนั้นเรามาเรียนรู้ประวัติเทพเจ้าองค์นี้กันเถอะค่ะ
โพไซดอน
พระสมุทรแห่งกรีก
     ในตำนานเคยกล่าวว่า เทพซีอุสมีพี่ชาย2พระองค์ พี่สาว3พระองค์ ซึ่งเทพโพไซดอนก็เป็น 1 ในพี่ชายแห่งเทพซีอุส เมื่อเทพซีอุสขึ้นเป็นประมุขฟ้าแล้วก็มอบอำนาจบางส่วนให้พี่ๆช่วยดูแล โดยเทพโพไซดอนรับอำนาจควบคุมครอบครองมหาสมุทร จากนั้นเทพบุตรโพไซดอนก็กลายเป็นพระสมุทร เทพเจ้าผู้ปกครองสรรพสิ่งในมหาสมุทรรวมถึงภูตปีศาจในทะเลอีกด้วย และชาวประมงที่จับปลาเป็นอาชีพก็จะอยู่ในความคุ้มครองของพระองค์ด้วย ยามท้องทะเลปั่นป่วนเหล่าชาวประมงจึงเชื่อกันว่า เทพโพไซดอนพิโรธจึงจะไม่ออกทะเลเพราะกลัวพลังอำนาจของพระองค์ เทพโพไซดอนจึงมีฉายาว่า"ผู้เขย่าโลก"อีกด้วย 
 เทพโพไซดอนประดับในปราสาทที่งดงามภายใต้มหาสมุทร ท่ามกลางเหล่าพระราชบริวารที่เป็นเทพแห่งทะเล เหล่าเทพธิดา นางพรายแห่งท้องทะเล ที่รูปร่างงดงามที่มีส่วนล่างเป็นปลา พระองค์ประทับบนบัลลังก์ทองคำที่สุกเปล่งสว่างดังแสงอาทิตย์ สวมมงกุฎแสดงถึงอำนาจแห่งประมุขแห่งภพบาดาล และศาสตราวุธคู่พระวรกายคู่ ตรีศูลที่ทรงพลานุภาพที่แกร่งทีหนึ่งก็แสดงทำให้มหาสมุทรสั่นสะเทือนได้(ทรงเป็นอาุวุธที่น่ากลัวจริงๆ) ได้พูดถึงภาระหน้าที่ของพระองค์ไปแ้ล้ว มาพูดถึงอำนาจเขตขอบขันธสีมาของพระองค์กันดีกว่า 
ภาพเทพโอเซียนัส
เทพโพไซดอนเดิมอย่างว่าเป็นเทพบุตรรุ่นใหม่อันกำเนิดจากเทพโครนัสกับนางเรอา ซึ่งก่อนที่พระองค์จะขึ้นตำแหน่งพระสมุทรนั้น มีเทพเจ้ารุ่้นเก่าคือ เทพไตรต้นนามว่า "โอเซียนัส" เป็นพระสมุทรอยู่ก่่อนแล้ว ซึ่งเทพโอเซียนัสมีอำนาจครอบคลุมอำนาจน้ำทุกอย่างในโลก แต่พอเทพรุ่นใหม่ล้มอำนาจของเทพไตรตัน เทพโอเซียนัสจึงถูกลดอำนาจแต่ยังคงสภาพพระสมุทรอยู่(อย่างงงนะฟังต่อ) คือ เทพโพไซดอนปกครองทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (ในอดีตชาวกรีกนั้นมหาสมุทรเมดิเตอร์เรเนียนมีความสำคัญต่อตนมาก) ส่วนเทพโอเซียนัสจึงปกครองในห้วงสมุทรที่เป็นเพียงน้ำไหลวนรอบโลกซึ่งไม่มีความสำคัญอะไรเลย 
 พระองค์ในฐานะเป็น 1 ใน เทพสภาทั้ง12แห่งโอลิมปัส มักจะตั้งเสด็จขึ้นไปยังโอลิมปัสด้วย เวลาพระองค์เสด็จจะทรงบนราชวงศ์เทียมม้าน้ำและจะมีเหล่าเทพบุุตร เทพธิดาแห่งทะเลรวมถึงหมู่นางพรายขึ้นมาส่งเสด็จต่างประโคมแตรสังข์ดนตรีอย่างอลังการ สมกับขบวนส่งเสด็จพระสมุทร ท้องทะเลจะแหวกเป็นทางให้รถม้าของพระองค์เหาะขึ้นสู่ท้องฟ้ามุ่งสู่โอลิมปัสอย่างสวยงาม  
 เทพโพไซดอนทรงเป็นพระสมุทรที่เท่ากับเป็นประมุขบรรดาสรรพสิ่งทั้งหลายในมหาสมุทร ก็คงขาดไม่ได้ที่จะต้องมีพระมเหสีหรือราชินีคู่บัลลังก์ พระราชินีแห่งท้องทะเลจะหนีไปไม่ได้เลย เพราะหนีแล้วท่านยังตามทันนั้นคือ เทพีอัมฟิตรีตี กว่าพระองค์จะได้เทพีพระองค์นี้มาเป็นพระมเหสีช่างยากอยู่เหมือนกัน ตอนแรกพระองค์ขอพระเทพีจากเทพโอเซียนัสผู้เป็นบิดา แต่พระเทพีกลับไม่ยินดีกับการจะเป็นพระมเหสีพระสมุทรพระองค์ใหม่จึงหนี..!! พระเทพีหนีซ่อนองค์อยู่ทีึ่อื่น แต่คงไม่พ้นพระเนตรพระกรรณของเ้ทพโพไซดอนได้ พระองค์จึงวานปลาโลมาช่วยตามหาพระเทพีอันเป็นที่รัก ในที่สุดเจ้าปลาโลมาก็พบพระเทพีและนำกลับมามอบแก่เทพโพไซดอนได้สำเร็จ พระเทพีผู้โสภาคงหนีไม่รอดตำแหน่งพระราชินีแห่งมหาสมุทร จึงยอมรับเทพโพไซดอนเป็นพระสวามีโดยดี 
เทพไทรตัน พระโอรสแห่งเทพโพไซดอน
     พระเทพีทรงมีพระโอรสให้เทพโพไซดอน คือ เทพไทรตัน โดยพระโอรสพระองค์นี้จะมีหน้าที่เป่าสังข์เป็นสัญญาณเวลาพระบิดาจะเสด็จสู่โอลิมปัส โดยพระองค์จะมีรูปลักษณ์เป็นคนครึ่งปลา เขาว่าพระองค์เป็นต้นตระกูลของเงือกกรีกด้วย 
ภาพนางไม้ซิลลาที่กลายเป็นปีศาจ

      พระเทพีทรงมีความเมตตา ความอ่อนโยน สมฐานะราชินีแห่งท้องทะเล ถึงพระสวามีจะออกไปหาเศษหาเลยนอกบ้านก็ไม่บ่นไม่ว่าไม่ตามราวี ตามใจพระสวามีทุกอย่างจะมีพระชายาเก็บ มีพระชายาน้อยจะมีกิ๊กกี่คน มีนางบำเรอเท่าไรไม่ว่า แต่แปลกมากที่พระเทพีกลับมาหึงหวงพระสมุทรภายแค่นางผู้นี้เพียงนางเดียว คือ นางไม้ นามว่า "ซิลลา" พระเทพีหึงหวงขนาดเรียกกันว่า ร้ายลึก (แบบนี้น่ากลัวที่สุด) เขาว่านางไม้ซิลลามีความเลอโฉมมากมายจนเอาเทพโพไซดอนอยู่หมัด พระเทพีเลยกริ้วเิกิดความหึงหวงจึงคอยโอกาศเหมาะที่จะแก้เผ็ดนางไม้นางนี้ และแล้ววันชะตาเคราะห์หนักก็มาถึง เมื่อนางไม้ซิลลาลงอาบน้ำในสระน้ำที่นางอาบเป็นประจำ แทนที่นางจะสบายและชุ่มชื่นกับน้ำเย็นๆสบายๆที่วันนี้กลับไม่ใช่อย่างนั้น พอนางลุกขึ้นจากน้ำเท่านั้น ร่างของนางกลับกลายร่างเป็นปีศาจอสูรกายที่น่ากลัวจนขนาดตัวนางเองยังรับไม่ได้จึงหนีไปอาศัยยังเกาะที่เป็นถ้ำห่างไกลผู้คน และจับคนที่เป็นคนเดินเรือผ่านไปมากินเป็นอาหาร (จะกล่าวตอนในตอนต่อไป เพราะนางเป็น1ในปีศาจที่เป็นอุปสรรคต่อวีรบุรุษแห่งกรีก) แต่ทำไมนางจึงกลายเป็นปีศาจไปได้? คงไม่ต้องสงสัยอะไรเพราะคงไม่พ้นน้ำมือพระเทพีนี้เอง พระเทพีนำยาพิษมาหยดไว้ในสระน้ำที่เป็นสระน้ำประจำของนางไม้ซิลลานั่นเอง (ร้าย...ลึกจริงๆ) ก็ของใคร ของใครก็หวง    
 เทพโพไซดอนจะมีความเจ้าชู้ไม่แพ้เทพซีอุสผู้เป็นน้องชาย พระองค์ก็เคยทำให้หญิงที่พระองค์มีความสัมพันธ์ด้วยพินาศมาแล้ว ใครจะรู้ว่านางปีศาจเมดูซ่าที่มีผมเป็นงูจะเคยมาชายาของเทพโพไซดอนมาแล้ว แต่ในอดีตนางเป็นเทพธิดาที่มีความงามมาก ซึ่งนางเป็นข้าบาทแห่งเทพีอธีน่าซึ่งนางเองได้ปฏิญาณไว้ว่าจะรักษาความพรหมจรรย์ แต่นางกลับมาถูกเทพโพไซดอนมาเจาะไข่แดงไปเสียนี้ เมื่อเทพีอธีน่าทราบเข้าก็พิโรธสาปให้นางกลายเป็นปีศาจไป 
 เหตุที่เทพีอธีน่าลงโทษนางเมดูซ่าอย่างรุนแรงคงอาจมาจากความไม่ลงรอยกันระหว่างลุงกับหลานคู่นี้ ต้องท้าวความว่า เทพเจ้ามีหน้าที่อย่างหนึ่งคือการเป็นเทพประจำเมือง ซึ่งครั้งนั้นมีเมืองเกิดใหม่ขึ้น ซึ่งเมืองนี้เป็นที่ถูกใจของเทพ2พระองค์ คือ เทพโพไซดอน กับ เทพีอธีน่้า ซึ่งไม่ยอมกันเสียที อีกคนก็ไม่ยอม ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน เรื่องจึงเข้าถึงเทพซีอุส ด้วยความยุติธรรมพระองค์จึงให้ทั้งสองประลองว่าใครจะสร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อเมืองนี้ โดยให้ชาวเมืองเป็นผู้ตัดสิน เทพโพไซดอนเนรมิตม้าให้แก่ชาวเมืองก็เป็นที่พอใจของชาวเมือง แต่เทพีอธีน่าทรงเนรมิตต้นมะกอกขึ้น ชาวเมืองกลับเลือกต้นมะกอกเพราะมีประโยชน์ได้ทุกส่วนของต้น จากนั้นเมืองนี้จึงมีเทพีอธีน่าเป็นเทพประจำ และมีชื่อเมืองว่า "เอเธนท์" เทพโพไซดอนจึงไม่ถูกกับเทพีอธีน่้าตั้งแต่นั้นมา 
 ถึงเทพโพไซดอนจะเป็นพี่ชายแห่งเทพซีอุส และดูจะเป็นพี่ชายที่รักน้องชาย แต่แล้วก็ไม่เหมือนอย่างที่คิด ดังอย่างที่กล่าวไปแล้วในตอนเทพีเฮร่า ราชินีแห่งสรวงสวรรค์ ว่าพระองค์ร่วมมือกับเทพีเฮร่า โค่นอำนาจเทพซีอุส แต่อย่างที่เล่าแล้วว่าเป็นการโค่นล้มที่ไม่สำเร็จ เทพซีอุสจึงทรงลงโทษให้เทพโพไซดอนลงจากโอลิมปัสไปเป็นทำงานหนักเยี่ยงมนุษย์โดยไปช่วย ท้าวเลือมมิดอน พระราชาเมืองทรอย สร้างกำแพงโดยมีเทพอะพอลโลที่โดนลงโทษเช่นกันมาช่วย ท้าวเลือมมิดอนเคยกล่าวว่าจะมอบรางวัลอย่างงามแก่เทพโพไซดอนหลังการสร้างกำแพงเสร็จ แต่พอกำแพงทรอยสร้างเสร็จ ท้าวเลือมมิดอนกลับตระบัดสัตย์ เทพโพไซดอนจึงพิโรธเป็นอันมากจึงเรียกสัตว์ร้ายจากท้องทะเลขึ้นมาไล่กินชาวเมือง ชาวเมืองต้องนำสาวพรหมจรรย์มาสังเวยปีละครั้ง จนหญิงสาวหมดเมือง ซึ่งเจ้าหญิงฮีไซโอนีต้องยอมพลีชีพเพื่อบ้านเมือง ท้าวเลือมมิดอนพยายามหาทุกวิถีทางที่ช่วยลูกของตน จึงประกาศหาชายหนุ่มมาปราบ หากผู้ใดปราบได้พระองค์จะมอบรางวัลให้อย่างงาม ในที่สุกเฮอร์คิวลิสก็รับอาสา เฮอร์คิวลิสก็ปราบสัตว์ร้ายได้ลง เมื่อเฮอร์คิวลิสมารับรางวัลพระองค์กลับตระบัดสัตย์เช่นเดิม ท้าวเลือมมิดอนก็สิ้นพระชนม์ด้วยน้ำมือของเฮอร์คิวลิส เพราะความไม่รักษาสัญญาเป็นต้นเหตุของเรื่อง
    ท้าวเลือมมิดอนเคยสัญญาจะมอบลูกวัวท้องแรกทั้งหมดเป็นเครื่องสังเวย นับจากนั้นเทพโพไซดอนจึงเป็นอริกับกรุงทรอยนับแต่นั้นมา...(ทำอะไรไว่ย่อมได้สิ่้งนั้นสนอง...สม...)

ที่มา  http://writer.dek-d.com/chanin34/story/viewlongc.php?id=602520&chapter=6


อาธีน่า (Athena) เทพีแห่งสติปัญญาและสงคราม


อาธีน่า (Athena) เทพีแห่งสติปัญญาและสงคราม



วันนี้ทรายจะนำเรื่องของเทพอาธีน่า เป็นเทะที่ทรายชอบที่สุดเลยค่ะ 

เอธีน่าผู้มีนัยน์ตาสีเทา(Athena  the  Gray  Eyes)  เป็นบุตรีที่ซีอุสให้

กำเนิดออกมาจากร่างกายตนเอง

  มารดาของเอธีน่าก็คือเมทิสเจ้าปัญญา  ชายาคนแรกของซีอุสซึ่งเป็นผู้ที่

ฉลาดปราดเปรื่องมาก(เป็นคนทำให้โครนอสคายพี่ๆของซีอุสออกมา)  เมื่อเมทิสตั้งครรภ์ 

ความหวาดระแวงก็เกาะกุมจิตใจของซีอุส  ด้วยว่ากลัวเมทิสจะให้

กำเนิดบุตรชายที่จะฉลาด,งดงามและยิ่งใหญ่กว่าตน  จึงจับเมทิสกลืนเข้าไป



    เวลาผ่านไปนานพอดู  จนซีอุสแต่งงานกับเฮร่าและมีทายาทมากมายทั้ง

กับเทพี  นางไม้นางพราย  และมนุษย์    เรียกว่าจนลืมไปเลยว่าเคยกลืนเมทิส

ที่กำลังตั้งครรภ์ลงไป  ซีอุสเกิดปวดขึ้นมาโดยไร้สาเหตุ  ปวดมากจนแทบคลั่ง  

ให้แพทย์ที่เก่งที่สุดมาดูอาการก็ยังไม่หาย  และอาการก็ยิ่งปวดเพิ่มขึ้นทุกที  ซี

อุสจึงให้เฮเฟตุสเอาขวามมาจามศรีษะของตนออกมาดูให้รู้ๆไปเลยว่ามันเป็น

อะไรกันแน่



    ทันทีที่ขวานแห่งเทพจามลงบนศรีษะของซีอุส  ก็มีเทพธิดาผู้หนึ่ง

กระโดดออกมาจากรอยแยกนั้นในรูปลักษณ์เจริญวัยเต็มที่  สวมเสื้อเกราะ

หมวกเกราะพร้อมชุด  เทวีนั้นก็คุกเข่าเบื้องหน้าซีอุสและบอกว่าตนชื่อเอธีน่า

บุตตรีแห่งเมทิส

 เทวีเอธีน่านั้นถือว่าเป็นเทวีที่มีความงามและฉลาดเหนือผู้ใด  และยัง

เป็นลูกที่ซีอุสโปรดปรานมากที่สุดด้วย   โดยสติปัญญาของนางก็ดูได้

จากการที่ชนะโปเซดอนในการแข่งขันเพื่อตั้งชื่อเอเธนส์(ดูในโปเซดอนนะครับ)  

นางยังเป็นเทพธิดาแห่งชัยชนะที่คอยปกป้องนักรับในสนามรบอีกด้วย  



             เอธีน่าจะปรากฏตัวในการสู้รบ  นางมีอำนาจที่จะตัดสินว่าใครจะอยู่จะ

ไป    ในขณะที่เอเรสมอบความรุนแรงดุเดือนเลือดพล่านให้นักรบผู้กระหาย

เลือดที่บูชาสงคราม  แต่นางจะมอบความกล้าหาญฮึกเหิมแต่เปี่ยมไปด้วยสติ

ไตร่ตรองอย่างชาญฉลาดและปกป้องผู้ที่ควรเรียกว่าวีรบุรุษหาใช่คนพาลไม่ 

ซึ่งหากนางเข้าข้างฝ่ายใดแล้วก็มักจะมีชัยเสมอ  ด้วยเหตุที่นางได้รับการยก

ย่องเช่นนี้ทำให้นางกับเอเรสไม่ค่อยจะกินเส้นกันสักเท่าไหร่  เรียกได้ว่าหาก

เห็นหน้ากันก็มีอันต้องเขม่นเป็นแน่แท้  



             และเทพธิดาผู้นี้ก็ได้มอบความพ่ายแพ้และอับอายอย่างใหญ่หลวงให้

แก่เทพแห่งสงคราม  ด้วยการเอาชนะการประลองกับเอเรส  โดยที่ฝ่ายหลัง

พ่ายแพ้อย่างไม่เป็นท่า  งานนี้เรียกได้ว่าอายมากกว่าเจ็บครับ  ที่ตัวเป็นเป็น

เทพแห่งสงครามแต่กลับปราชัยให้น้องสาวต่างมารดาอย่างนี้ 



             โดยรวมๆแล้วเอธีน่าเป็นเทพธิดาที่มีจิตใจเอื้ออารีชอบช่วยเหลือผู้อื่น

มาก  ในมหากาพย์อีเลียดที่ว่าด้วยสงครามแห่งชาวกรีกและโทรจัน  เอธีน่าก็มี

บทบาทในการช่วยวีรบุรุษกรีกหลายครั้ง  เช่น  หลอกเฮกเตอร์ว่าจะคอยช่วย

และให้มาสู้กับอคิลลิส  เป็นต้น



             และในมหากาพย์โอดิสซีที่กล่าวถึงการเดินทางกลับบ้านที่อิธาก้าของโอ

ดิสซีอุส  วีรบุรุษกรีกที่คิดสร้างม้าไม้ซึ่งทำให้สงครามสิ้นสุดเป็นเวลาถึงยี่สิบปี  

เพราะเขาไปทำให้โปเซดอนพิโรธ  เอธีน่าก็ช่วยให้เขาพ้นภัยหลายครั้ง



           เอธีน่ายังมีบทบาทมากมากโลดแล่นในตำนานการผจญภัยของวีรบุรุษ

อีกหลายคน  เช่น



-ช่วยให้การแนะนำในการต่อเรืออาร์โกที่ใช้ในการตามหาขนแกะทองคำ  

โดยถ่ายทอดคำพูดผ่านกิ่งของต้นโอ๊คศักดิ์สิทธิ์ที่นำมาทำเป็นหัวเรือ  



-บอกวิธีสังหารเมดูซ่าแก่เปอร์ซีอุส



-ช่วยเอเปอีอุสสร้างม้าไม้



-มอบบังเหียนวิเศษเพื่อใช้ควบคุมเพกาซัสแด่เบลเลโรฟอน

ฯลฯ



               แต่ด้วยว่านิสัยแห่งเทพที่มักจะขึ้นๆลงๆเสมอ  เทพธิดาที่แสนดีก็พร้อม

จะโหดได้หากมีใครไปหยามเข้า  เช่นในกรณีของอแรคเน่หญิงชาวไลเดียนผู้มี

พรสวรรค์ในการทอผ้าได้อย่างงดงามจนอาจหาญท้าทายเทวีผู้ชาญฉลาด  ซึ่ง

เอธีน่าก็รับคำท้าด้วยหวังจะสั่งสอนให้รู้สำนึก  ว่าเป็นมนุษย์หาควรท้าทายเทพ

เจ้าไม่  แต่ผลปรากฎว่าผ้าของทั้งสองต่างก็มีความงามอันวิจิตรเท่าเทียมกัน  

ทำให้เอธีน่าบันดาลโทสะ  สาปให้อแรคเน่กลายเป็นแมงมุม*  และให้ชักใยเช่น

ที่นางทอผ้าเป็นลวดลายเช่นนี้ตลอดกาล


            เอธีน่ามีที่พำนักอยู่ทั้งบนโอลิมปุสและอโครโปลิสแห่งเอเธนส์  มีต้น

มะกอกเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์  และมีฉายามากมายใช้เรียกนาง  ไทรโทเนีย(ผู้ที่เกิดสามครั้ง)

,พัลลัส  เอธน่า(เอธีนาผู้เป็นพรมจารี),พาเธนอส(เทพธิดาพรม

จารี),โปรมาคุส(ผู้คุ้มครอง)

    คำว่าเอธีน่าเป็นชื่อเรียกในภาษากรีก  ส่วนในชื่อโรมันก็คือมิ

เนอร์ว่า